การเลือกสีทาบ้านไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เพราะไม่ได้มีแค่ความสวยงามที่ต้องคำนึงถึง แต่ยังเกี่ยวข้องกับอายุการใช้งาน ความทนทาน และแม้กระทั่งค่าใช้จ่ายในระยะยาว หลายคนอาจคิดว่าถ้าเลือกสีที่แพง มีคุณภาพสูง ก็เพียงพอแล้ว แต่ความจริงยังมีอีกปัจจัยสำคัญที่มักถูกมองข้าม นั่นคือ การเลือก "สีเย็น"
สีเย็น ไม่ได้หมายถึงสีที่สัมผัสแล้วเย็นเหมือนน้ำแข็งหรือเมนทอล แต่คือเทคโนโลยีสีที่ช่วย สะท้อนความร้อนและรังสี UV จากแสงแดด ทำให้ผนังบ้านเย็นลง ลดการสะสมความร้อน และช่วยยืดอายุบ้านให้คงทนได้นานขึ้น ที่สำคัญยังช่วยประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย การเลือกใช้ สีเย็น จึงไม่ใช่แค่การเลือกสีทาบ้านทั่วไป แต่คือการลงทุนเพื่อความสบายใจในระยะยาว ทั้งเรื่องบ้านที่อยู่สบายขึ้น และโลกที่น่าอยู่ขึ้น
ทำไมต้องทาสีเย็นแทนสีทาบ้านทั่วไป
สีทนก็ดีอยู่แล้ว ทำไมต้องสีเย็นด้วย? อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่าสีเย็นเป็นจุดเริ่มต้นของความทนทาน จึงมีส่วนช่วยในการปกป้องบ้านอย่างมาก และประเด็นสำคัญไม่แพ้กันคือ สีเย็นจากเบเยอร์ไม่ทำร้ายโลกด้วย หากสงสัยว่าเพราะอะไร ไปดูเหตุผลกันเลย
1. สีเย็น เพิ่มความทน
เลือกสีที่ทนทานเป็นเรื่องดี แต่สิ่งที่เราควรใส่ใจยิ่งกว่าคือสีที่เย็น เรารู้กันดีว่าประเทศไทยเป็นเมืองร้อนและประสบปัญหาความร้อนทุกเดือนไม่เว้นแม้หน้าหนาว ตัวบ้านเองก็มีปัญหานี้เช่นกัน ไม่เพียงความร้อนจากแสงอาทิตย์ที่เข้าสู่ตัวบ้าน ทำให้บ้านมีอุณหภูมิสูงขึ้น เจ้าของบ้านรู้สึกร้อนอบอ้าว ความร้อนและรังสี UV ยังส่งผลต่อพื้นผิวผนัง ฟิล์มสีเสื่อมสภาพ ซีดจาง ลอกล่อนเร็วขึ้น อายุการใช้งานลดลง
ลองคิดภาพใบหน้าของเราด้านหนึ่งที่ทาครีมกันแดดมาตลอด กับอีกด้านหนึ่งที่ไม่ทาอะไรเลย จะพบว่าใบหน้าด้านที่เปลือยเปล่าไร้เครื่องป้องกันมีรอยด่างดำ ฝ้า กระ เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งงานวิจัยพิสูจน์กันมาแล้วว่าตัวการใหญ่ก็คือแสงแดดและรังสี UV นี่เอง ขนาดหน้าเรายังเสี่ยงขนาดนี้ บ้านเราที่โดนแดดตลอดจะไม่เสี่ยงได้อย่างไร
สีเย็นอย่างเบเยอร์คูลจึงจำเป็นอย่างมากในการต่อกรกับความร้อนและแสงอาทิตย์ ทำให้บ้านเย็นขึ้นและทนกว่า ด้วยการทำงานแบบ Double Cool, Double Protect จากเทคโนโลยีเซรามิก คูลลิ่ง (Ceramic Cooling) ผสานกับแอโรคเทค (AeroTech) นวัตกรรมใหม่จากวัสดุแห่งอนาคต ช่วยสะท้อนความร้อนได้มากถึง 97.5% อุณหภูมิสะสมลดลงสูงสุดถึง 6 องศา และยังประหยัดค่าไฟ 32% ซึ่งเหมาะกับไทยเราและประเทศแถบเอเชีย อย่างประเทศสิงคโปร์ก็เริ่มทดลองนำสีเย็นมาใช้แก้ปัญหาความร้อนในเขตเมืองบ้างแล้ว
2. สีเย็น ช่วยลดโลกร้อน
ความพิเศษของสีเย็นที่มีแอโรเทคอยู่ที่การสะท้อนความร้อน รังสี UV และยังแผ่รังสีความร้อน (IR) ออกไปในช่วงคลื่นความยาวพิเศษ ทะลุออกนอกชั้นบรรยากาศได้เลย ไม่ถูกขังโดยชั้นบรรยากาศและสะท้อนกลับมาสะสมที่ผนังบ้าน เมื่อบ้านเย็นขึ้น เจ้าของบ้านก็จะใช้พลังงานจากเครื่องใช้ไฟฟ้าลดลงด้วย เอื้อให้ปรากฏการณ์โดมความร้อน (Heat Dome) หรือภาวะความร้อนสะสมสูงในเขตเมืองใหญ่ค่อย ๆ ลดลงได้
อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้สีเย็นเบเยอร์คูลแตกต่างคือการเป็นสีคาร์บอนต่ำ (Low Embodied Carbon) เนื่องจากกระบวนการที่รักษ์โลกตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบ การผลิตสี การใช้พลังงานทดแทน การจัดการของเสีย การขนส่ง ตลอดจนการจัดการหลังใช้สี จึงช่วยลดผลกระทบ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและโลกมากขึ้น เทียบได้กับการปลูกต้นไม้จำนวน 5,554,492 ต้นเลยทีเดียว เช่น
- ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ไปแล้วกว่า 3,500,000 kgCO2eq ก่อนส่งถึงมือเจ้าของบ้านทุกคน
- ประหยัดพลังงานไฟฟ้าจากเครื่องปรับอากาศกว่า 86,636 MW (คำนวณจาก 8 ชั่วโมงแดด)
- ลดคาร์บอนจากการใช้พลังงานเท่ากับ 336,636,000 kgCO2eq
ที่สำคัญ สีเบเยอร์คูลยังผ่านการรับรองมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและได้รับฉลากรักษ์โลกทั้งในระดับประเทศและสากลด้วย ไม่ว่าจะเป็นฉลากลดโลกร้อน ฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ฉลากเขียว ฉลาก LEED ฉลาก WELL ฉลากอุตสาหกรรมสีเขียว และฉลากประหยัดพลังงาน
สีเย็นนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของความทนขั้นกว่า และการรักษ์โลกที่มากกว่า เพราะปัจจุบันนี้ไม่ใช่แค่บ้านเราเท่านั้นที่ต้องปกป้อง แต่ยังมีโลกที่เราต้องหันกลับมาดูแลร่วมกันด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเจ้าของบ้านถึงควรนำสีเย็นมาเป็นเกณฑ์อันดับแรกในการตัดสินใจเลือกซื้อสีทาบ้านนั่นเอง