
การทาสีบ้านถือเป็นงานรีโนเวทที่หลายคนมักให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ เพราะ “สีบ้าน” ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความสวยงาม แต่ยังมีผลต่อความรู้สึก การใช้งาน และอายุการใช้งานของบ้านในระยะยาว เมื่อถึงเวลาต้องเลือกวิธีการทาสีบ้าน เจ้าของบ้านจำนวนไม่น้อยจึงเกิดคำถามสำคัญขึ้นมาเสมอว่า “ถ้าทาสีบ้านเพียง 2 รอบ…จะเพียงพอจริงไหม? หรือสุดท้ายต้องกลับมาแก้งานใหม่อยู่ดี?”
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวคิดการทาสีบ้านเพียง 2 รอบได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเหตุผลด้านความรวดเร็ว ความคุ้มค่า และความคุ้มต้นทุน แต่กระแสนี้ก็ทำให้หลายคนลังเลว่าจะตามความสะดวกแบบ 2 รอบ หรือจะยึดตามมาตรฐานช่างที่ทา 3 รอบมานานหลายสิบปี ความสงสัยนี้ยิ่งเด่นชัดขึ้นเมื่อเทคโนโลยีสีทาบ้านได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะกลุ่มสี 2 in 1 ที่รวมคุณสมบัติของ “รองพื้น + สีจริง” ไว้ในตัวเดียว ทำให้หลายคนตั้งคำถามใหม่ว่า
“ถ้าสีรุ่นใหม่สามารถทา 2 รอบแล้วปกปิดได้ดี…เรายังจำเป็นต้องทา 3 รอบอยู่ไหม?”
เพราะงานสีที่ดีไม่ใช่แค่ “สวยตอนทาเสร็จ” แต่ต้องสวยทนไปอีกหลายปี บทความนี้จึงรวบรวมคำตอบเชิงผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ถูกต้องที่สุด ไม่ว่าบ้านกำลังสร้างใหม่ รีโนเวท หรือกำลังหาความรู้ไว้เตรียมตัวสำหรับงานทาสีในอนาคต
มาตรฐานงานทาสีบ้าน: ทำไมต้อง 3 รอบ?
ช่างมืออาชีพส่วนใหญ่แนะนำการทาสีแบบ มาตรฐาน 3 รอบ เพราะเป็นวิธีที่มั่นใจได้ว่าให้ความสวยงามและความทนทานในระยะยาวที่สุด ได้แก่
1. รอบรองพื้น (Primer) ช่วยเสริมการยึดเกาะ ปรับสภาพผนังให้พร้อมรับสีจริง และเพิ่มความทนทานของฟิล์มสี
2. รอบสีจริง ทา 2 รอบเพื่อให้เนื้อสีเต็มแน่น ปกปิดสม่ำเสมอ และคงทนต่อสภาพอากาศ
เหตุผลสำคัญคือ สภาพผิวผนังแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน เช่น
- มีความชื้นสะสม
- เคยทาสีเก่าไว้แล้วลอกเป็นแผ่น
- ใช้ปูนหยาบหรือผนังแตกลายงา
- เคยใช้สีเกรดต่ำ
หากไม่รองพื้นหรือทาน้อยกว่ามาตรฐาน อาจทำให้เกิดปัญหา เช่น สีลอก สีด่าง ฟิล์มสีบาง หรือไม่ทนแดดฝน
แล้วทำไมหลายคนเริ่มหันมาทาแค่ “2 รอบ”?
เพราะเทคโนโลยีสีรุ่นใหม่ได้ปรับสูตรให้เข้มข้นขึ้นและยึดเกาะดีกว่าเดิม โดยเฉพาะกลุ่มสี 2 in 1 ที่รวมรองพื้นและสีจริงไว้ในถังเดียว ทำให้:
- ทาเพียง 2 รอบก็ปกปิดได้ระดับเดียวกับทา 3 รอบ
- ไม่ต้องผสมน้ำ ช่วยคงความเข้มข้นของเนื้อสี
- แห้งเร็ว ทำงานไว ประหยัดเวลาช่างและเจ้าของบ้าน
อย่างไรก็ตาม การทา 2 รอบจะได้ผลลัพธ์ดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ พื้นผิวผนังและสภาพเดิมของสี เป็นสำคัญ เช่น ผนังใหม่จะทา 2 รอบได้ง่ายกว่า ส่วนผนังเก่าที่มีเชื้อรา ลอกพอง หรือมีคราบสะสมอาจต้องปรับสภาพก่อน โดยการกำจัดเชื้อราแนะนำเป็น Beger Mouldfree M-001 (น้ำยากำจัดเชื้อราและตะไคร่น้ำ) และแก้ปัญหาสีลอกพองก่อน

แนะนำ BegerCool 2in1
ซึ่งเป็นสีสูตรน้ำอะคริลิกชนิดพิเศษที่ออกแบบมาให้ รวมรองพื้นในตัว และมีประสิทธิภาพสูงในการยึดเกาะช่วยให้เจ้าของบ้านสามารถ ทาสีเพียง 2 รอบ ก็ได้ผลลัพธ์ระดับมืออาชีพ

สรุป: ทาสีบ้าน 2 รอบ ทำได้จริงไหม?
คำตอบคือ ทำได้จริง และให้ผลลัพธ์สวยทนนาน หากคุณเลือกใช้สีที่ออกแบบมาสำหรับการทำงาน 2 รอบ เช่น สีประเภท 2in1 รวมถึงต้องมั่นใจว่าผนังไม่มีปัญหาเชื้อรา ความชื้น หรือสีลอก
การทาสีบ้าน 2 รอบจึงถือเป็นทางเลือกที่:
- ประหยัดเวลา
- ประหยัดค่าแรง
- ได้งานคุณภาพไม่ต่างจาก 3 รอบ
- เหมาะกับบ้านยุคใหม่ที่ต้องการงานรวดเร็วคุ้มค่า
FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทาสีบ้าน 2 รอบ
Q1 : ทาสีบ้าน 2 รอบเพียงพอไหม?
A1 : เพียงพอ หากใช้สี 2in1 คุณภาพสูงและผนังอยู่ในสภาพดี ไม่มีเชื้อรา ไม่มีสีลอก
Q2 : ผนังเก่าลอกควรทา 2 รอบได้หรือไม่?
A2 : ไม่ควร ต้องขูดลอกและทารองพื้นใหม่ให้พร้อมก่อน
Q3 : สี 2 in 1 แตกต่างจากสีทั่วไปอย่างไร?
A3 : เป็นสีที่รวมรองพื้นและสีจริงไว้ในถังเดียว ลดขั้นตอน และช่วยปกปิดดีขึ้น
Q4 : ทาสี 3 รอบทนกว่าจริงไหม?
A3 : เหมาะกับผนังปัญหา แต่หากใช้สี 2in1 คุณภาพสูง ความทนทานแทบไม่ต่างกันสำหรับผนังที่พร้อมใช้งาน
