เมื่อพูดถึง โอโซน (Ozone) หลายคนอาจนึกถึงอากาศบริสุทธิ์ที่ดีต่อสุขภาพ แต่ความจริงแล้วโอโซนกลับเป็นก๊าซที่มีทั้งคุณและโทษต่อมนุษย์ หากอยู่ในระดับพื้นดินอาจเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ แต่หากอยู่ในชั้นบรรยากาศสูงกลับมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการปกป้องโลกจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต ความสำคัญนี้เองทำให้นานาประเทศต้องร่วมมือกันกำหนด อนุสัญญาการป้องกันชั้นบรรยากาศโอโซน และกำหนดให้ วันที่ 16 กันยายนของทุกปีเป็น “วันโอโซนโลก” (World Ozone Day) เพื่อย้ำเตือนถึงคุณค่าของโอโซนต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก มาทำความรู้จักโอโซนให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปพร้อมกัน
โอโซน (Ozone: O₃) คืออะไร?
โอโซน (O₃) คือก๊าซที่ประกอบด้วยออกซิเจน 3 อะตอม จัดเป็นก๊าซที่ไวต่อปฏิกิริยาเคมี สามารถเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น จากฟ้าผ่า ฟ้าแลบ หรือการกระทบของแสงอาทิตย์ ขณะเดียวกันมนุษย์ก็สามารถสร้างโอโซนได้จากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) หรือสนามแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูง
ในเชิงการกระจายตัว โอโซนมากกว่า 90% อยู่ในบรรยากาศชั้นสตราโทสเฟียร์ (Stratosphere) ที่ระดับความสูงประมาณ 10–50 กิโลเมตร ซึ่งเป็นบริเวณที่ทำหน้าที่เป็น “ชั้นโอโซน” (Ozone Layer) ส่วนอีกประมาณ 10% อยู่ใน ชั้นโทรโพสเฟียร์ (Troposphere) หรือระดับใกล้พื้นดิน 0–10 กิโลเมตร ซึ่งเป็นโอโซนที่อาจเป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิต
นอกจากบทบาทในการปกป้องโลกแล้ว โอโซนยังถูกใช้ในอุตสาหกรรมหลากหลาย เช่น กำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ยับยั้งเชื้อโรค สลายก๊าซพิษ ทำให้ อากาศบริสุทธิ์ ฟอกสี และบำบัดน้ำเสีย แต่ต้องไม่ลืมว่าโอโซนก็เป็นพิษต่อมนุษย์ โดยเฉพาะ โอโซนระดับพื้นดิน (Ground-Level Ozone) ที่อยู่ราว 0–2 กิโลเมตร เกิดจาก ไอเสีย ยานพาหนะ โรงงานอุตสาหกรรม และปฏิกิริยาของ สาร VOCs จากผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งหากสูดดมเข้าไปอาจทำให้ไอ ระคายคอ คัดจมูก หายใจติดขัด หรือเจ็บหน้าอกได้
ความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับปริมาณโอโซนที่ได้รับ โดยกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยหอบหืด เด็กที่ปอดยังพัฒนาไม่เต็มที่ และผู้สูงอายุ มักได้รับผลกระทบที่รุนแรงกว่า
ผลกระทบของการสูญเสียโอโซน
แม้โอโซนจะเป็นพิษต่อมนุษย์เมื่อสูดดมโดยตรง แต่สำหรับโลกแล้ว การสูญเสียโอโซน หรือ ชั้นโอโซนบางลง กลับอันตรายยิ่งกว่า เพราะทำให้เกราะป้องกันธรรมชาติของโลกหายไป ส่งผลให้ รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ส่องลงมาถึงพื้นโลกมากขึ้น ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต เช่น
- มนุษย์เสี่ยงต่อปัญหาผิวหนัง มะเร็งผิวหนัง ต้อเนื้อ และต้อลม
- พืชผลทางการเกษตรเติบโตชะงัก แคระแกรน
- วัสดุและสิ่งปลูกสร้างเสื่อมสภาพหรือแตกหักได้รวดเร็วขึ้น
โดยสาเหตุของการสูญเสียโอโซนในช่วงหลายทศวรรษก่อนก็มาจากสารเคมีในภาคอุตสาหกรรมหรือมาจากน้ำมือมนุษย์เรานี่เอง โดยสารที่เป็นตัวการทำลายโอโซนนั้นคือ สารฮาโลคาร์บอน (Halocarbon) ที่ประกอบด้วยคลอรีน (Cl) ฟลูออรีน (F) โบรมีน(Br) คาร์บอน (C) และไฮโดรเจน (H) ซึ่งจัดเป็นกลุ่มก๊าซเรือนกระจกด้วย ได้แก่
- สารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (Chlorofluorocarbons: CFCs)
- สารไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (Hydrochlorofluorocarbons: HCFCs)
- สารไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (Hydrofluorocarbons: HFCs)
- สารเปอร์ฟลูออโรคาร์บอน (Perfluorocarbons: PFCs)
- สารซัลเฟอร์เฮกซาฟลูออไรด์ (Sulphur Hexafluoride: SF6)
โดยสาร CFCs อย่าง ฟรีออน-12 (CCl2F2) ซึ่งเป็นสารทำความเย็นในตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ และสารในกระป๋องสเปรย์ รวมถึงเป็นของเสียจากการผลิตโฟมพลาสติก ถือเป็นสารหลักที่ถูกแบนอย่างจริงจัง เนื่องจากเป็นตัวการสำคัญที่ทำลายโอโซน จนเกิดเป็นรูโหว่โอโซนทั่วโลก จนรังสี UV ส่องตรงถึงสิ่งมีชีวิตในโลก
นานาประเทศจึงทำข้อตกลงร่วมกันที่เรียกว่า พิธีสารมอนทรีออล (Montreal Protocal) ในปี 1987 ในการลดและเลิกการผลิตและใช้สาร CFCs เพื่อช่วยลดปัญหาช่องโหว่โอโซน และฟื้นฟูชั้นโอโซนให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ซึ่งตามคาดการณ์แล้วจะกลับมาสมบูรณ์ในปี 2070
ปัจจุบันตามรายงานฉบับใหม่ขององค์การสหประชาชาติระบุว่า ขณะนี้ชั้นโอโซนโลกกำลังฟื้นตัวอย่างช้า ๆ โดยในปี 2040 จะฟื้นฟูเต็มที่สำหรับที่อื่น ๆ ทั่วโลก ปี 2045 สำหรับขั้วโลกเหนือ และปี 2066 สำหรับขั้วโลกใต้
ด้วยเล็งเหตุความสำคัญที่มากมายของโอโซน สีเบเยอร์จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการรักษ์โลกผ่านเทคโนโลยีการผลิตสียุคใหม่ AVID (Automatic Vacuum Inline Dispersion) เครื่องผลิตอินไลน์อัตโนมัติระบบสุญญากาศ ทำให้กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยกระบวนนการนี้ลดการใช้พลังงานได้ถึง 85.39% ต่อปี ใช้พลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต้นเหตุโอโซนที่ลดลงสู่ชั้นบรรยากาศได้ถึง 335 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี และยังมีระบบใช้น้ำหมุนเวียน ช่วยลดปริมาณน้ำเสีย 100% ส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพเพื่อประโยชน์ในการใช้งานสูงสุด พร้อมรักษาโลกให้น่าอยู่เพื่อลูกหลานของเราในวันข้างหน้า