
หลายคนอาจมองว่า “สีทาบ้าน” เป็นเพียงขั้นตอนสุดท้ายของการตกแต่ง แต่ในความเป็นจริง สีที่เราเลือกใช้ส่งผลโดยตรงทั้งต่อ สุขภาพของคนในบ้าน และคุณภาพอากาศภายในอาคาร หนึ่งในสารที่มักพบในสีทั่วไปและผลิตภัณฑ์ตกแต่งบ้านจำนวนมาก คือ ฟอร์มัลดีไฮด์ (Formaldehyde) สารระเหยที่มองไม่เห็น แต่สามารถลอยปะปนอยู่ในอากาศได้นานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนหลังการทาสีหรือการตกแต่งบ้านเสร็จ ทำให้เรา “หายใจเอาเข้าไป” โดยไม่รู้ตัว
ฟอร์มัลดีไฮด์คืออะไร?
ฟอร์มัลดีไฮด์ (Formaldehyde) เป็นก๊าซไม่มีสีแต่มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว จัดอยู่ในกลุ่มสารเคมีระเหยง่าย หรือ VOCs (Volatile Organic Compounds) ซึ่งสามารถกระจายตัวในอากาศได้แม้ในอุณหภูมิห้อง สารชนิดนี้ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพราะช่วยให้ผลิตภัณฑ์
- แข็งแรง ทนทาน
- แห้งเร็ว
- ยึดเกาะได้ดี
จึงพบได้ทั้งใน วัสดุก่อสร้าง สีทาบ้าน เฟอร์นิเจอร์ ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ใช้ในชีวิตประจำวัน
ฟอร์มัลดีไฮด์มาจากอะไรในบ้านบ้าง?
หลายคนมักเข้าใจว่าฟอร์มัลดีไฮด์มาจาก “กลิ่นสีใหม่” เท่านั้น แต่ความจริงแล้ว ฟอร์มัลดีไฮด์สามารถมาจากหลายแหล่งในบ้าน ดังนี้
1. เฟอร์นิเจอร์และวัสดุก่อสร้าง
- ไม้อัด แผ่นไม้ลามิเนต แผ่นไม้ MDF / Particle Board มักใช้กาวและเรซินที่มีฟอร์มัลดีไฮด์เป็นส่วนประกอบเพื่อช่วยยึดเกาะเนื้อไม้
- เฟอร์นิเจอร์บิวต์อิน เฟอร์นิเจอร์ไม้เคลือบเงา เช่น ตู้เสื้อผ้า โต๊ะ ชั้นวางของ ประตู โดยเฉพาะงานเคลือบแลคเกอร์หรือผิวเคลือบเงาต่าง ๆ
2. สีทาบ้านและวัสดุตกแต่งผนัง
- สีทาบ้าน สีรองพื้น แลคเกอร์ และสารเคลือบบางชนิด
- ผลิตภัณฑ์เคลือบพื้นไม้หรือเฟอร์นิเจอร์ที่มี VOCs ซึ่งอาจรวมถึงฟอร์มัลดีไฮด์
อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไป สีทาบ้านหรือสีทาอาคารที่ได้รับรองมาตรฐานอุตสาหกรรมไทย เช่น มอก. 272-2564 (สีอิมัลชันทั่วไป) และ มอก. 2321-2564 (สีอิมัลชันทนสภาวะ) มักจะ ไม่มีการใช้ฟอร์มัลดีไฮด์เป็นส่วนประกอบหลักในกระบวนการผลิตสี และมีการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด ดังนั้น การเลือกใช้สีที่ผ่านมาตรฐาน มอก. จึงเป็นหนึ่งในวิธีช่วยลดความเสี่ยงจากสารระเหยอันตรายภายในบ้านได้
3. พรม วอลเปเปอร์ และผลิตภัณฑ์สิ่งทอ
พรม วอลเปเปอร์ ผ้าม่าน ผ้าเบาะโซฟาบางประเภทอาจใช้กาว สารเคลือบ หรือสารกันเชื้อราที่มีฟอร์มัลดีไฮด์ เมื่อใช้งานไปสักระยะหนึ่ง สารเหล่านี้สามารถค่อย ๆ ระเหยออกมาในอากาศได้
4. ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและของใช้ในบ้าน
- น้ำยาทำความสะอาดบางชนิด
- สเปรย์ปรับอากาศ หรือน้ำยาฆ่าเชื้อบางประเภท
แม้ปริมาณอาจไม่สูงเท่าวัสดุก่อสร้าง แต่การใช้บ่อยในพื้นที่ปิดก็ทำให้เกิดการสะสมได้เช่นกัน
5. เครื่องสำอางและยาบางชนิด
- เครื่องสำอางบางประเภท
- ยาบางชนิด
อาจมี สารปล่อยฟอร์มัลดีไฮด์ (Formaldehyde-releasers) เป็นส่วนผสม เมื่อใช้บ่อยในพื้นที่ปิดจึงอาจเพิ่มปริมาณฟอร์มัลดีไฮด์ในสภาพแวดล้อมโดยรวมได้เช่นกัน
ฟอร์มัลดีไฮด์ในสีทาบ้าน: พบได้อย่างไร?
ในอดีตหรือในสีบางกลุ่ม ฟอร์มัลดีไฮด์อาจเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบของสี เช่น
- ใช้เป็นส่วนหนึ่งของ เรซิน (Resin Binder) เพื่อเพิ่มความทนทานและความเงา
- ใช้เป็นตัวช่วยในกระบวนการทำให้ฟิล์มสีแห้งและคงรูป
- ใช้เป็นสารกันเสียหรือสารฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ในสีสำเร็จรูป
แต่ปัจจุบัน เทคโนโลยีสีได้พัฒนาไปมาก ผู้ผลิตสีคุณภาพสูง โดยเฉพาะสีทาอาคารที่มุ่งเน้นด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม จะหลีกเลี่ยงการใช้ฟอร์มัลดีไฮด์ และหันมาใช้
- อะคริลิกเรซินบริสุทธิ์ (Pure Acrylic Resin)
- สูตรสีที่เป็นมิตรต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
- เทคโนโลยีฟอกอากาศ เช่น Beger Airfresh Gold iON / Beger clean&Care ที่ช่วยดูดซับและสลายฟอร์มัลดีไฮด์ในอากาศ
ฟอร์มัลดีไฮด์อันตรายต่อสุขภาพอย่างไร?
หากได้รับเกินค่ามาตรฐานที่กำหนด (มากกว่า 0.1 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) อาจส่งผลต่อสุขภาพดังนี้
ผลกระทบระยะสั้น
- แสบตา แสบจมูก ระคายเคืองทางเดินหายใจ
- ไอ จาม เจ็บคอ
- ปวดหัว มึนงง รู้สึกไม่สบายตัวเมื่ออยู่ในห้องนาน ๆ
ผลกระทบระยะยาว
- ส่งผลต่อระบบหายใจและภูมิคุ้มกัน
- เพิ่มความเสี่ยงต่อ มะเร็งโพรงจมูกหรือมะเร็งปอด เมื่อได้รับในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มเสี่ยงพิเศษ
- เด็กเล็ก
- ผู้สูงอายุ
- ผู้ที่มีโรคภูมิแพ้ หรือโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง
กลุ่มนี้ควรให้ความสำคัญกับการเลือกสีและวัสดุที่ปลอดภัยเป็นพิเศษ
วิธีลดปริมาณฟอร์มัลดีไฮด์ในบ้าน
นอกจากเลือกสีทาบ้านให้ปลอดภัยแล้ว ยังสามารถจัดการ “ทั้งระบบ” ภายในบ้านได้ดังนี้
1. เลือกเฟอร์นิเจอร์และวัสดุที่มีการรับรอง
- เลือกเฟอร์นิเจอร์ ไม้อัด หรือแผ่นไม้ที่มีการรับรองว่ามีปริมาณฟอร์มัลดีไฮด์ต่ำ (เช่น ระดับ E0, E1 หรือมาตรฐานเทียบเท่า)
- เลือกวัสดุที่ใช้กาวหรือเรซินสูตร Low-VOCs
2. ใช้เครื่องฟอกอากาศ
การติดตั้งระบบระบายอากาศ และการใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะรุ่นที่มี ถ่านกัมมันต์ (Activated Carbon) ซึ่งมีคุณสมบัติดักจับกลิ่นและไอระเหยได้ดีมากนอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยี Photocatalytic Oxidation ที่ทำงานร่วมกับแสง UV จะช่วยย่อยสลายสารพิษ เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์ สารระเหยต่าง ๆ รวมถึงช่วยกำจัดเชื้อโรคอย่างแบคทีเรียและไวรัส ทำให้อากาศสะอาดและปลอดภัยมากขึ้น
3. เลือกสีทาบ้านที่ปลอดภัย
- เลือกสีที่ระบุชัดเจนว่า Low-VOCs หรือ Zero-VOCs
- เลือกสีที่ผ่านมาตรฐานด้านความปลอดภัย เช่น มอก. 272-2564, มอก. 2321-2564 และมาตรฐานสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ
- เลือกสีที่มีคุณสมบัติฟอกอากาศ สามารถดูดซับและสลายฟอร์มัลดีไฮด์ได้
4. ทำความสะอาดบ้านเป็นประจำ
- ดูดฝุ่นและเช็ดทำความสะอาดพื้นและเฟอร์นิเจอร์อย่างสม่ำเสมอ
- ลดการสะสมของฝุ่นและความชื้น ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการปลดปล่อยสารระเหยจากวัสดุ
5. ระบายอากาศให้ถ่ายเทได้ดี
- เปิดหน้าต่างให้ลมพัดผ่าน
- ใช้พัดลมหรือพัดลมดูดอากาศช่วยหมุนเวียนอากาศ โดยเฉพาะหลังทาสีใหม่หรือหลังนำเฟอร์นิเจอร์ใหม่เข้าบ้าน
6. หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารระเหยอันตราย
- เลือกน้ำยาทำความสะอาดที่ปลอดภัยและไม่มีกลิ่นฉุนรุนแรง
- ลดการใช้สเปรย์ปรับอากาศหรือสารเคมีที่ไม่จำเป็นในพื้นที่ปิด
วิธีเลือก “สีทาบ้านปลอดภัย” เพื่อสุขภาพของคนในบ้าน
1. ตรวจสอบฉลาก Low-VOCs หรือ Zero-VOCs - เลือกสีที่ระบุว่า ปลอดสารระเหยอันตราย (Low / Zero VOCs) ซึ่งหมายถึงการปล่อยฟอร์มัลดีไฮด์และสารเคมีอื่น ๆ ในระดับต่ำมากหรือแทบไม่มีเลย
2. เลือกสีที่ผ่านมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและมาตรฐานอุตสาหกรรม - นอกจากมาตรฐาน มอก. แล้ว หากสีได้รับการรับรองด้านสิ่งแวดล้อม เช่น
- Green Label
- LEED
- Eco-Friendly Certification
จะยิ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์มีการควบคุมคุณภาพทั้งต่อผู้ใช้งานและต่อสิ่งแวดล้อม
3. อ่านข้อมูลจากผู้ผลิตอย่างละเอียด
- เลือกสีที่ระบุส่วนผสมและค่า VOCs อย่างชัดเจน
- หลีกเลี่ยงสีที่ไม่ระบุข้อมูลด้านสุขภาพหรือค่าการปล่อยสารระเหยอย่างโปร่งใส
4. พิจารณาสีที่มีคุณสมบัติฟอกอากาศ
สีบางชนิดใช้เทคโนโลยีเฉพาะ เช่น
- Beger Airfresh Gold iON
- BegerShield Easy Clean & Care
ซึ่งสามารถ ดูดซับและสลายฟอร์มัลดีไฮด์ในอากาศ ให้กลายเป็นไอน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ ช่วยลดภาระของร่างกายในการกำจัดสารพิษเอง
5. ระบายอากาศหลังการทาสี - แม้จะเลือกสีปลอดภัยแล้ว ก็ควร เปิดหน้าต่าง หรือ ใช้พัดลมเพื่อช่วยระบายอากาศ อย่างน้อย 2–3 วันหลังทาสี เพื่อให้กลิ่นจางลงและลดระดับสารระเหยในอากาศ
สีรักษ์โลก: เมื่อบ้านและสิ่งแวดล้อมปลอดภัยไปพร้อมกัน
“สีรักษ์โลก” ไม่ได้หมายถึงสีเขียว แต่หมายถึงสีที่ออกแบบมาให้
- ไม่มีโลหะหนักและสารพิษตกค้าง
- ปล่อยสาร VOCs ต่ำ
- ใช้วัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- ผลิตด้วยกระบวนการที่ช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์
การเลือกสีรักษ์โลกช่วยลดมลพิษทางอากาศและปัญหาโลกร้อนในระยะยาว เพราะ สุขภาพของบ้านและโลกนั้นเชื่อมโยงกันเสมอ
สรุป : เลือกสีที่ดีเท่ากับเลือกอากาศที่เราหายใจทุกวัน
การเลือก สีทาบ้านปลอดสารฟอร์มัลดีไฮด์ และให้ความสำคัญกับวัสดุและเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้าน ไม่ได้ส่งผลแค่เรื่องความสวยงามของผนัง แต่คือการเลือก “อากาศที่เราหายใจทุกวัน” ให้ปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อผสานการเลือกสีที่ผ่านมาตรฐาน เช่น มอก. 272-2564 และ มอก. 2321-2564 ร่วมกับการใช้สีฟอกอากาศสมัยใหม่ เช่น Beger Airfresh Gold iON / BegerShield Easy Clean & Care
FAQ : คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฟอร์มัลดีไฮด์และสีทาบ้าน
Q1 : ฟอร์มัลดีไฮด์มาจากไหนในบ้าน?
A : พบได้ในวัสดุก่อสร้างและของใช้หลายประเภท เช่น ไม้อัด แผ่นไม้ลามิเนต เฟอร์นิเจอร์บิวต์อิน กาว แลคเกอร์ พรม วอลเปเปอร์ ผ้าม่าน ผลิตภัณฑ์สิ่งทอ รวมถึงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เครื่องสำอาง และยาบางชนิดที่มีสารปล่อยฟอร์มัลดีไฮด์เป็นส่วนประกอ
Q2 : สีฟอกอากาศช่วยลดฟอร์มัลดีไฮด์ได้จริงไหม?
A : ได้จริง หากใช้เทคโนโลยีที่ผ่านการทดสอบ เช่น Gold iON หรือ Photocatalyst / AirFresh Catalyst ที่ช่วยดูดซับและสลายฟอร์มัลดีไฮด์ให้กลายเป็นไอน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์
Q3 : บ้านใหม่มีกลิ่นสีฉุน ควรทำอย่างไร?
A : ควรเปิดหน้าต่าง ระบายอากาศ และใช้พัดลมช่วยหมุนเวียนอากาศอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 2–3 วัน และหากเป็นไปได้ ควรหลีกเลี่ยงการอยู่อาศัยในพื้นที่นั้นเป็นเวลานานในช่วงแรก
Q4 : สีปลอด VOCs ต่างจากสีทั่วไปอย่างไร?
A : สีปลอด VOC หรือมี VOCs ต่ำ ไม่มีกลิ่นฉุนรุนแรง ลดการระเหยของสารพิษ รวมถึงฟอร์มัลดีไฮด์ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้แพ้ง่าย เด็กเล็ก และผู้สูงอายุ
Q5 : การเลือกสีรักษ์โลกช่วยสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร?
A : เพราะสีรักษ์โลกปล่อยสารเคมีน้อย ลดการก่อมลพิษทางอากาศ และผลิตด้วยกระบวนการที่ลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์ จึงช่วยดูแลทั้งสุขภาพคนในบ้านและโลกไปพร้อมกัน


