6 ขั้นตอนทาสีบ้านเองง่ายๆให้เหมือนมืออาชีพ
รู้หรือไม่? ใคร ๆ ก็ทาสีบ้านเองได้! สำหรับคนที่เบื่อสีเก่าอยากเปลี่ยนสไตล์ใหม่ให้ไม่จำเจ แล้วอยากทาสีด้วยตัวเองไม่ต้องเสียเงินจ้างใคร วันนี้เบเยอร์มีวิธีการทาสีบ้านเองง่าย ๆ แบบมือใหม่ให้สวยงามไม่แพ้ช่างมืออาชีพมาฝากกัน บอกเลยว่าไม่ยากอย่างที่คิด ลองไปทำความเข้าใจ และเริ่มทำดูกันได้เลยผ่าน 6 ขั้นตอนดังต่อไปนี้
เลือกอ่านตามหัวข้อที่สนใจ
ขั้นตอนการทาสีบ้านด้วยตัวเอง
6 ขั้นตอนทาสีบ้านเอง เริ่มต้นอย่างไรดี
1. ตรวจสอบสภาพพื้นผิวของบ้านคุณ
ขั้นตอนแรกสุดคือ เราต้องดูสภาพพื้นผิวของบ้านว่าเป็นแบบไหน เพราะว่าการทาสีบ้านเก่ากับบ้านใหม่เพิ่งสร้าง จะมีวิธีการดูแลเตรียมพื้นผิว และใช้ผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน
อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงบริเวณที่จะทาว่าจะทาภายในบ้าน หรือทาภายนอกบ้าน อีกด้วย เนื่องจากสีทาภายในและสีทาภายนอก จะมีคุณสมบัติบางสิ่งที่แตกต่างกัน เช่น ประสิทธิภาพความทนต่อสภาพอากาศ โดยทั่วไปอนุโลมใช้สีชนิดทาภายนอกใช้ทาภายในได้ และในส่วนของผนังภายในที่แสงแดดส่องถึงควรใช้สีทาภายนอกเท่านั้น แต่ไม่หมายถึงว่าจะได้ประโยชน์สูงสุดเสมอไป ด้วยสีภายในเกรดคุณภาพสูงมีคุณสมบัติพิเศษที่เหนือกว่าสีภายนอกทั่วไป เช่น ทนทานต่อแรงเช็ดล้างทำความสะอาดคราบสกปรกได้ดีกว่า และในบางรุ่นยังมีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อแบคทรีเรียและไวรัส รวมทั้งสามารถฟอกอากาศได้ BegerCool DiamondShield 15 (สีทาภายนอก) หรือ BegerShield AirFresh Gold Ion (สีทาภายใน)
2. เตรียมอุปกรณ์ทาสี ควรมีอะไรบ้าง
ในเมื่อจะทาสีด้วยตัวเอง สิ่งที่ต้องเตรียมนอกจากสี นั่นก็คือบรรดาอุปกรณ์ทาสี อาทิเช่น แปรง-ลูกกลิ้งทาสี และเกรียงโป๊ว รวมถึงเทปกาวที่ใช้สำหรับกั้นพื้นที่ ๆ ไม่อยากให้สีไปเลอะโดน อย่าง ขอบประตู หรือขอบหน้าต่าง เป็นต้น
- เลือกลูกกลิ้งทาสี อย่างไรดี
อุปกรณ์สุดคุ้นตาที่เหมาะกับการใช้ทาในพื้นที่เป็นวงกว้าง ส่วนใหญ่ที่ขายตามท้องตลาดมี 3 ขนาด ได้แก่ ลูกกลิ้ง 4 นิ้ว, 7 นิ้ว และ 10 นิ้ว
- เลือกแปรงทาสีบ้าน อย่างไรดี
อุปกรณ์มาตรฐานในการทาสี เหมาะกับการทาในพื้นที่จำกัด ในซอกมุมที่ลูกกลิ้งไม่สามารถทาได้ หัวแปรงมีหลายขนาดตั้งแต่ 1 - 5 นิ้ว และขนแปรงมีหลายแบบ เช่น แปรงขนดอกหญ้า แปรงขนพลาสติก และแปรงขนสัตว์ โดยเราจะต้องเลือกให้เหมาะสมกับงาน เช่น แปรงทาสี 2.5 นิ้ว จะเป็นขนาดยอดนิยม เป็นต้น
- เลือกเกรียง อย่างไรดี
เกรียงเป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับเกลี่ยพื้นที่ให้เรียบผิวเรียบ แซะปูนเก่า เกลี่ยรอยโป๊ว ขึ้นลายสี โดยเกรียงมีหลายแบบ ได้แก่ เกรียงสามเหลี่ยม เกรียงโป๊ว และกรณีสีตกแต่งพิเศษ เช่น BegerShield Art Effects Loft ให้ใช้เกรียงเหล็ก BA-43 ทรงเหลี่ยม
- เลือกเทปกาวกั้นพื้นที่ อย่างไรดี
การเลือกเทปกระดาษกาว (masking tape) เพื่อใช้ในการทาสีจะต้องดูเรื่องคราบกาวและการทนการซึม กล่าวคือเมื่อลอกออกมาจะต้องไม่ทิ้งคราบกาวไว้ และเมื่อทาสีเนื้อสี จะต้องไม่ซึมเข้าไปตามขอบเทปกาว โดยสามารถหาซื้อตามร้านค้าวัสดุก่อสร้างหรือเครื่องเขียน
3. เตรียมพื้นผิว ทำความสะอาด และซ่อมแซม
การเตรียมพื้นผิวของบ้านแต่ละประเภทนั้นไม่เหมือนกัน กรณีที่เป็นบ้านใหม่จะต้องดูเรื่อง ปัญหาความชื้น ซึ่งค่าที่เหมาะสมจะระหว่าง 14 - 16% (เมื่อวัดด้วยเครื่องวัดความชื้น PROTIMETER) ส่วนถ้าเป็นบ้านเก่าที่ต้องการรีโนเวตใหม่ แล้วมีปัญหาพื้นผิว เช่น หลุดล่อน รอยแตก รอยร้าว รอยซึม เชื้อรา ตะไคร่น้ำ หรือคราบเกลือ คุณจำเป็นต้องทำการซ่อมแซมก่อนที่จะเริ่มต้นทาสีใหม่
- ปัญหาสีหลุดล่อน สีทาบ้านเป็นสินค้าที่มีการเสื่อมสภาพตามอายุงาน ยิ่งต้องเจอสภาพอากาศอันทรหดในประเทศไทยที่ร้อนชื้นสูง หากใช้สีคุณภาพไม่ดี ก็อาจทำให้โป่งพองหลุดล่อนง่าย หากต้องการจะทาสีใหม่จำเป็นต้องแซะลอกสีเก่าออกก่อน
- ปัญหาผนังบ้านแตกร้าวแตกลายงา เป็นปัญหาที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากการที่ผนังปูนเจอความร้อนสูงและไม่สามารถถ่ายเทความร้อนได้ เลยทำให้เกิดรอยร้าวรอยแตกลายงา ซึ่งถ้ารอยแตกร้าวขนาดเล็กมีความกว้างไม่เกิน 1 มิลลิเมตร แนะนำให้ใช้ Beger Acrylic Filler F-200 อุดโป๊วรอยร้าวนั้นก่อน หรือ ถ้ามีรอยแตกร้าวกว้างขนาด 2-10 มิลลิเมตร Beger Acrylic Sealant F-001 ชนิดยืดหยุ่นสูงแทน
- ปัญหาเชื้อราและตะไคร่น้ำ ปัญหากวนใจประจำหน้าฝน ที่ไม่ต้องทนอีกต่อไป เพราะว่าสามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ เพียงแค่ขัดล้างทำความสะอาด ปล่อยให้พื้นผิวให้แห้งอย่างน้อย 24 ชั่วโมง แล้วทาด้วยน้ำยากำจัดเชื้อราตะใคร่น้ำ Beger Mouldfree M-001 จำนวน 1 - 2 เที่ยว ทิ้งไว้อย่างน้อย 3 - 4 ชั่วโมง โดยไม่ต้องล้างออก ก็พร้อมทาสีใหม่ต่อไป
- ปัญหาคราบเกลือ เมื่อน้ำหรือความชื้นซึมเข้าไปทำปฏิกิริยากับเนื้อปูน แล้วพอแห้งจึงเกิดเป็นคราบขี้เกลือสีขาวอยู่บนพื้นผิว คราบดังกล่าวสามารถขัดล้างให้ทุเลาลงได้ แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำควรทำการอุดรอยแตกร้าวก่อนจะเริ่มลงสีรองพื้นปูน Beger Water Block Primer B-3100 / Beger Pro Quick Primer B-1900
4. ทาสีรองพื้น (Primer) ให้เหมาะสมกับพื้นผิว
สีรองพื้น (Primer) คือ สีชั้นแรกที่ใช้ทาบนพื้นผิวก่อนลงสีทับหน้า เพื่อช่วยป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับพื้นผิว เช่น เชื้อรา สีซีดหลุดล่อน รวมถึงช่วยยืดอายุสีให้ติดแน่นอยู่ทนสดใหม่ได้นานกว่าเดิม
ในบ้านปูนจะแบ่งเป็น สีรองพื้นปูนเก่า (บ้านเก่าอายุ 5 ปีขึ้นไป) สีรองพื้นปูนใหม่ (บ้านใหม่ 1 - 3 เดือน) และสีรองพื้นปูนสด (เพิ่งฉาบเสร็จ 2 - 5 วัน)
- เลือกสีรองพื้นอย่างไรดี
อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า พื้นผิวของบ้านมีผลต่อการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช้ โดยเฉพาะสีรองพื้นถ้าใช้ไม่ถูกต้องก็ไปอาจลดทอนประสิทธิภาพของสีทับหน้าได้ โดยจะมีวิธีเลือกสีรองพื้นดังนี้
เลือกสูตรสีรองพื้น ซึ่งปกติจะมีให้เลือกทั้งชนิดสูตรน้ำมันและสูตรน้ำ โดยสูตรน้ำมันจะให้ประสิทธิภาพการแทรกซึมยึดเกาะได้ดีกว่า แต่กรณีที่ต้องการหลีกเลี่ยงกลิ่นสีรบกวนก็แนะนำให้พิจารณามาเลือกใช้เป็นสนิดสูตรน้ำ
เลือกสีรองพื้น ซึ่งจะมีทั้งหมด 2 ชนิดด้วยกัน คือ แบบสีใส เหมาะกับพื้นผิวที่เป็นสีเก่าที่ผ่านการใช้งานมานาน สีที่เป็นฝุ่นชอล์ก (Chalking) หรือทาด้วยสีคุณภาพต่ำมาก่อน และกรณีเฉดสีทับหน้าใหม่ใกล้เคียงกับเฉดสีเดิม และ แบบสีขาว เหมาะกับผู้ที่ต้องการจะกลบรอยปัญหาต่าง ๆ จากพื้นผิวเดิม และกรณีเฉดสีใหม่แตกต่างกับเฉดสีเดิม
- ดูสภาพปูนของบ้าน
บ้านปูนเก่าอายุ 3-5 ปีขึ้นไป ควรเลือก สีรองพื้นปูนเก่า เช่น น้ำยารองพื้นปูนเก่า Beger Primer B-1500 , B-1700 , B-2500 , B-2090
บ้านปูนใหม่อายุ 1 - 2 เดือน ควรเลือก สีรองพื้นปูนใหม่ เช่น Beger Primer Pro 100 , BegerCool All Plus Primer #6000
บ้านปูนสดที่เพิ่งฉาบปูนเสร็จใน 2 - 5 วัน ควรเลือกสีรองพื้นอเนกประสงค์ เช่น Beger Primer B-3100 หรือ B-1900 ที่ความชื้นสูงถึง 40 - 75% โดยสามารถทาได้กับพื้นผิวปูนทุกประเภททั้ง ปูนใหม่ ปูนเก่า และปูนสด
5. ทาสีทับหน้า
เรียกว่าเป็นหัวใจหลักของขั้นตอนทั้งหมดเลยก็ว่าได้ เพราะมันคือสีทาบ้านชั้นสุดท้ายที่จะบ่งบอกสไตล์ของห้องหรือของบ้านที่คุณอยากให้เป็น ผ่านสีสันบนพื้นผิว โดยการเลือกสีทับหน้ามีหลักการพิจารณาใน 5 ส่วน ได้แก่
1. เฉดสีที่ต้องการ
2.สูตรสีน้ำหรือสีน้ำมัน
3.เนื้อฟิล์มแบบสีด้าน, เนียน หรือ กึ่งเงา
4.คุณสมบัติพิเศษของสี
5.อายุความทนทาน เป็นต้น
เลือกสีทับหน้าอย่างไรดี
- เลือกเฉดสีที่ต้องการ โดยสามารถดูได้จาก ไอเดียตกแต่งสี ที่มีให้เลือกมากกว่าพันเฉด หรือเพื่อความแม่นยำสูงสุด แนะนำให้ลองดูจากแผ่นพัดสี (Fan Deck) หรือ แคตาล็อคสี ตามร้านขายสีชั้นนำ ซึ่งจะมีจะตรงกับความเป็นจริงมากกว่าการดูผ่านจอคอม หรือจอมือถือ
- เลือกสีสูตรน้ำ หรือ สีสูตรน้ำมัน ในทำนองเดียวกันกับสีรองพื้น สีทาบ้านสูตรน้ำจะมีกลิ่นอ่อนกว่า-ใช้งานง่ายกว่า และปลอดภัยกว่า สูตรน้ำมัน ดังนั้นหากคุณเป็นกังวลเรื่องกลิ่น สีสูตรน้ำจะเหมาะสมกว่า
- เลือกชนิดฟิล์มสี ปกติเนื้อฟิล์มสีที่นิยมใช้ในตลาดมีสองแบบ ได้แก่ สีแบบด้าน (Matt), แบบเนียน (Sheen) เหลือบเงาเล็กน้อย และ แบบกึ่งเงา (Semi-Gloss) ที่จะให้สไตล์โชว์ความหรู และเช็ดล้างได้ง่ายกว่าแบบด้าน (แต่ไม่เหมาะกับพื้นผิวที่มีตำหนิ)
- เลือกคุณสมบัติพิเศษอื่น ๆ ของสี เดี๋ยวนี้สีไม่ได้มีดีแค่ความสวย แต่ยังช่วยดูแลบ้านและตัวคุณจากมลภาวะต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกได้อีกด้วย เช่น สี BegerCool สีบ้านเย็นที่มีคุณสมบัติสะท้อนความร้อน ช่วยลดค่าไฟ หรือ สี BegerShield AirFresh Gold Ion ที่มีคุณสมบัติช่วยฟอกอากาศ ฆ่าเชื้อโรค และกำจัดเชื้อไวรัสได้ เป็นต้น
- เลือกเกรดของสี เกรดของสีวัดจากอายุความทนทาน ซึ่งจะมีหลายเกรด ความทนทานเริ่มต้นตั้งแต่ 3 - 15 ปี ยิ่งเกรดสูงก็จะยิ่งทนทานได้มากกว่า แต่ก็จะมีราคาสูงกว่าด้วยนั่นเอง
เทคนิคที่ควรรู้ กรณีคนที่มีเวลาจำกัด และต้องการลดค่าใช้จ่ายที่ต้องการเสร็จงานให้ไวที่สุด ขอแนะนำ BegerCool 2in1 Semi-Gloss, BegerCool 2in1 Exterior Matt และ BegerCool 2in1 Interior Matt สีทับหน้าผสมรองพื้นสูตรพิเศษ สะดวกพร้อมใช้งาน ไม่ต้องทาสีรองพื้นก่อน ไม่ต้องผสมน้ำ ทาง่าย ประหยัดเวลามาพร้อมนวัตกรรม AEROTECH ที่ช่วยลด และสะท้อนความร้อน เพิ่มประสิทธิภาพการปกป้องพื้นผิว ฟิล์มสีจึงเย็นขึ้นและทนกว่า 10 ปี
6. เก็บงานและตรวจความเรียบร้อย
มาถึงขั้นตอนสุดท้าย หลังจากที่เราทาสีทับหน้ารอบที่สองแล้วปล่อยทิ้งไว้จนสีแห้ง ซึ่งถ้าเป็นสีทาบ้านของ Beger Cool จะแห้งสนิทในเวลา 1 วัน ในสภาพอากาศปกติ และกรณีมีการเลือกใช้เทปกาวปิดป้องกัน ให้ลอกเทปกาวออก (ก่อนที่ฟิล์มสีแห้งสนิท)
จะเห็นได้ว่าการทาสีบ้านเอง เป็นสิ่งที่ใครก็สามารถทำได้ เพียงแค่ต้องเข้าใจกระบวนการขั้นตอน ต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สีให้ถูกประเภท รวมไปถึงต้องใช้มีเวลาและความอดทนในระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าคุณสามารถทำได้ทั้งหมด มันก็จะช่วยคุณประหยัดค่าช่างไปได้เยอะพอสมควรเลยล่ะครับ
หากใครต้องการปรึกษาเรื่องการทาสี สามารถทักแชทกับช่างเทคนิคของเบเยอร์โดยตรงผ่านแชทในหน้าเว็บไซต์ Beger.co.th ผ่าน เฟซบุ๊ก Beger Paint หรือโทรสอบถามที่ Beger Call Center 02-8155888 ต่อ 3 ได้ฟรี